เผย 10 อันดับยี่ห้อรถยนต์ที่น่าเชื่อถือมากที่สุดจาก J.D. Power
J.D. Power บริษัทวิจัยชื่อดังระดับโลก ได้ทำการเก็บข้อมูลจากผู้ที่ใช้รถแต่ละยี่ห้อที่ใช้งานเกิน 3 ปีในสหรัฐฯ (นับตั้งแต่โมเดลปี 2013) ถึงความพอใจของ การออกแบบภายนอก, ฟังก์ชันการใช้งาน, ที่นั่ง, การตกแต่งภายใน, การขับขี่, เครื่องเสียงและระบบอำนวยความสะดวก, ระบบปรับอากาศ และเครื่องยนต์, เกียร์ โดยใช้กลุ่มตัวอย่างจำนวน 33,560 คันตลอด 1 ปีที่ผ่านมา เพื่อหาว่ารถยนต์ยี่ห้อไหนที่จะได้รับความน่าเชื่อถือจากผู้ใช้งานจริงมากที่สุด จนได้ 10 ยี่ห้อมาดังนี้
ยี่ห้อรถหรูในเครือ Ford คว้าอันดับ 10 ไป โดยมีการรายงานถึงปัญหาที่พบเพียง 132 ปัญหาจากรถทั้ง 100 คันที่สำรวจ ตกจากปี 2015 ที่ได้อันดับที่ 6
ยี่ห้อที่คนไทยไม่ค่อยคุ้นชื่ออย่าง RAM แต่ได้รับความนิยมสูงในสหรัฐฯ ถูกรายงานถึงปัญหา 129 ครั้งจาก 100 คัน ขยับขึ้นจากอันดับที่ 12 เมื่อปี 2015
ค่ายรถสปอร์ตฝั่งอเมริกาของ Honda อย่าง Acura ถูกรายงานมา 129 ปัญหาจาก 100 คัน ขยับอันดับขึ้นมาจากที่ 10 เมื่อปี 2015
คว้าอันดับติดกันไปกับยี่ห้อดั้งเดิมอย่าง Honda ที่พบปัญหาถูกรายงานมา 126 ครั้งจาก 100 คัน แย่ลงจากเดิมเมื่อปี 2015 ที่เคยอยู่อันดับ 5
ขยับขึ้นจากอันดับที่ 9 มาเป็นอันดับ 6 กับ Chevrolet ที่ถูกรายงานมา 125 ปัญหาจาก 100 คัน
อีกแบรนด์ในเครื่องของ GM อย่าง GMC ที่รับความเชื่อถือจากผู้ใช้งานในอันดับที่ 5 สำรวจพบรายงานปัญหา 120 ครั้งจาก 100 คัน ทำได้ดีขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2015 ในอันดับ 9
ร่วงจากอันดับ 3 เมื่อปี 2015 มาอยู่ที่อันดับ 4 กับยี่ห้อจากแดนปลาดิบอย่าง Toyota พบ 113 ปัญหาจากรถ 100 คัน
ตกมา 1 อันดับเมื่อเทียบกับปี 2015 เช่นกันกับ Buick ที่ถูกรายงานมา 106 ปัญหาจาก 100 คัน จนคว้าอันดับ 3 ในปีนี้
แบรนด์จากเยอรมนี แต่ได้รับความเชื่อถือมากจากชาวอเมริกัน จนมาอยู่เป็นอันดับที่ 2 ในปีนี้ ขยับขึ้นมาจากอันดับที่ 5 ในปี 2015 พบ 97 ปัญหาจาก 100 คันเท่านั้นเอง
คว้าอันดับ 1 ไป 5 ปีซ้อนในรางวัลยี่ห้อรถยนต์ที่น่าเชื่อถือมากที่สุดกับ Lexus ยี่ห้อรถหรูในเครือของ Toyota เมื่อพบรายงานปัญหาเพียง 95 ครั้งจาก 100 คัน น้อยที่สุดจากทุกยี่ห้อที่ถูกสำรวจใน 1 ปีที่ผ่านมา
ทั้งนี้ J.D. Power ได้เผยข้อมูลเพิ่มเติมว่า ค่าเฉลี่ยของปัญหาที่ถูกรายงานในปีนี้อยู่ที่ 147 ครั้ง โดยปัญหาที่พบมากที่สุดคือการเชื่อมต่อโทรศัพท์กับเครื่องเสียงรถยนต์ผ่าน Bluetooth จำนวน 53%, ระบบสั่งการด้วยเสียง 67%